ยังจำกันได้มั้ยว่า อะไรที่ทำให้เราตัดสินใจเข้ามาฟรีไดฟ์?
ก่อนจะเริ่มเล่า … สำหรับคนที่เคยฟรีไดฟ์อยู่แล้ว แล้วค่อยๆนึกย้อนไปดูนะ.. ว่า วันแรกที่เราได้ลงน้ำ และ ฟรีไดฟ์เป็นครั้งแรกอ่ะ ความรู้สึกมันเป็นยังไงกันบ้าง ? ค่อยๆลองนึกดีๆ . . . มันแอบต่างจากตอนนี้เยอะมากเลยนะ ความรู้สึกกับฟรีไดฟ์ มันแบบแตกต่างไปเยอะเหมือนกัน …. เป็นมะ ? อ่ะ เริ่ม
– สำหรับผมคือ โคตรยาวเลยนะ นี่คือนั่งคุยกับแฟนว่า ลองนึกย้อนกันดีกว่า ว่าทำไมเราเข้ามา freediving ได้ จุดเริ่มต้นมันคืออะไรกันแน่ ถึงกับงัด time stone ขึ้นมานึกย้อนเลย มันน่าจะมาจากแบบชอบน้ำ ชอบทะเล และที่สำคัญเกลียดชูชีพ แมร่งโคตรภาระเลย 55 ธรรมดาก็ขยับตัวยากอยู่แล้ว เอามันมาด้วยคือถ่วงจัด ขาดอิสรภาพ เหมือนโดนกักขังหน่วงเหนี่ยว ทำได้มากสุดคือ บอกเด็กเรือว่า เดี๋ยวผมลองลงนะ ถอดชูชีพ (ซึงมันไม่ลึกหรอก สมัยดำน้ำไม่เปน มองลงไปขาเหยียบไม่ถึงหน่อยเดียว 3-4 เมตรก็ว่าลึก ใจเต้นแล้ว) แล้วก็ใช้ความเท่ในการดั๊กลงไป เรียกว่าดั๊กลงธรรมชาติ ไม่ต้องเรียน มันลงแบบลงเลย แต่เจ็บหูแบบจี๊ดดด อะไรวะเนี่ย บีบจมูกก็เคลียร์ไม่ออก จะลองใส่แรงเพิ่มก็กลัวหูจะระเบิด อ่ะขึ้นก็ได้ยอม ….. แต่ถึงแบบนั้น ก็น่าจะลงไปได้แบบ 3 เมตร ก็จัดว่าเท่สุดในแกงค์ลอยอยู่ผิวน้ำอ่ะ 555 (หรือว่าจริงๆคือความอยากขิงแกงค์ snorkel ก็ไม่รู้ )
– หลังจากนั้นก็ไม่ได้อะไรมากกับการฟรีไดฟ์นะ เพราะตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าไอสิ่งที่ทำมันคือฟรีไดฟ์ จนกระทั่งแฟนเริ่มไปเสพย์สื่อ freediving มา แล้วก็เอามาโชว์ให้ดูเรื่อยๆ ว่ามันแบบ สวยมากเลย จำได้มันคือคลิป ผู้หญิง อุ้มหินแล้ววิ่งใต้น้ำอ่ะ อย่างนาน …. คือก็คิดในใจแบบ ตายห่า กลั้นหายใจขนาดนี้ ไม่ได้หรอก ตายแน่ๆ แล้วก็มาประโยคสุด classic ถ้าเปน fc จริงต้องรู้เรื่องนี้ 555 “หาทำอยากตายเหรอ?” แล้วก็ไม่ได้ฟรีไดฟ์นะ ผ่านมาน่าจะอีก 2-3 ปีได้ จนมีโอกาสได้พาที่บ้านไปเที่ยว แล้วก็อีท่าไหนไม่รู้ ซือฟินมาแล้วเรียบร้อย ทั้งๆที่ยังฟรีไดฟ์ไม่เปน แต่อุปกรณ์มาแล้ว แล้วก็ไปดำๆเล่นๆ แต่ไม่กล้าลงลึกนะ กลัว แล้วหูก็เคลียร์ไม่ได้ เจ็บตายห่า ซื้อมาแค่ให้มันเคลื่อนไหวได้ง่ายๆใต้น้ำเฉยๆ ……..
– แล้วหลังจากนั้นไม่นาน เหมือนกระแส freedive มันก็เริ่มมา น่าจะก่อน covid19 ประมาณปีนึง แล้วก็มีเพื่อนๆเริ่มชวนไปเรียน ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้อิน ไม่ได้หาข้อมูลที่เรียนอะไรเท่าไหร่ ก็เพื่อนเรียนอยู่แล้ว แล้วก็ไปตามๆกัน เพราะไม่ได้คิดว่าฟรีไดฟ์มันจะมีอะไรเยอะแยะ ที่ไหนมันก็เหมือนๆกันแหละมั้ง (ซึ่งมาค้นพบทีหลังว่า โอ่วววว มันมีอะไรเยอะกว่าที่คิดเยอะมาก) แล้วพอได้เรียน ได้ศึกษา ได้ลอง ได้ฝึก ได้ซ้อม มันก็จะค่อยๆ อ๋อขึ้นเรื่อยๆว่า freediving มันประมาณแถวๆไหน ก็เรียกว่าผ่านมาหลายหลักสูตร เจอมาหลายคน แล้วผสมกับตัวเองเปนสายชอบวิจัยและทดลอง จนสุดท้ายมันก็ตกผลีกออกมาได้หลายๆอย่าง ว่า freediving จริงๆแล้ว ที่สุดของมัน สำหรับ หลายๆคน มันจะไปอยู่ตรงไหนได้บ้าง … ไว้เจอกันแล้วสนใจ จะเล่าให้ฟัง มีเรื่องดีๆอยากจะแชร์ให้ฟังมากๆ สำหรับคนที่แบบรักและอยากอยู่กับสิ่งนี้ไปนานๆ แต่บาง topic ก็สุดจะ sensitive ไว้ คลิกกันแล้วจะแชร์ให้ฟัง
สุดท้ายๆ เรื่องที่สำคัญมากๆเลยอีกเรื่องนึงก็คือ ผมว่ามันอาจจะเป็นเพราะว่า เวลาเราทำอะไรก็แล้วแต่ เรามักจะชอบหาอะไรที่มันวัดความสำเร็จของเราได้ ในเชิงปริมาณ ซึ่งใน ฟรีไดฟ์ มันก็จะหนีไม่พ้น ใครกลั้นหายใจได้นานกว่า … ใครไปได้ไกลกว่า หรือ ใครลงได้ลึกว่า ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ผิดเลยนะครับ การวัดในเชิงตัวเลขแบบนี้ เป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับการแข่งขัน แต่….. ถ้าเราไม่ใช่ล่ะ เรื่องเหล่านี้มันมีความสำคัญขนาดนั้นเลยมั้ย … สำหรับผมคือ ไม่เลย คุณภาพของการที่เราฟรีไดฟ์ สำคัญกว่าเยอะมาก ฟรีไดฟ์แล้ว ได้สนุกมั้ย ปลอดภัยมั้ย ได้ออกกำลังกายมั้ย ได้ผ่อนคลายมั้ย ได้มาเจอเพื่อนๆที่ชอบในสิ่งเดียวกันมั้ย ซึ่งมันสำคัญมากนะ แค่ค่านิยมทางอีกฝั่งนึง มันดันเอามาทำให้เห็นภาพได้ชัดกว่า บางทีหลายๆคนก็หลงเอาความรู้สึกตัวเอง ไปปักอยู่กับตัวเลขพวกนั้นซะทั้งหมด ….. แต่สุดท้าย ไม่ว่าความสุขเราจะอยู่ฝั่งไหน สิ่งที่สำคัญที่พยายามบอก นร ทั้ง 2 ฝั่งนี้เสมอ ก็คือ . . . . ไปเคลียร์หู จะลง 1 เมตร 10เมตร 100เมตร หูต้องเคลียร์ให้ได้ดีเหมือนกัน !!! จบนะ เลิกงอแง แล้วก็ส่งการบ้านมาได้แล้ว 🙂
แล้วมาเจอกันนะครับ 🙂
ขอบคุณภาพบรรยากาศที่ทำให้มีความสุขมากๆจาก Deep Finder Camp9: Reunion
Keing Jaja
Deep Finder Founder
“Find Your Deep”
#deepfinder#freediving#freedive#เรียนFreedive#freedive#ฟรีไดฟ์#เรียนฟรีไดฟ์#ครูเคี้ยง
สำหรับใครที่สนใจเรียน ดูรายละเอียดคอร์สเรียนได้ที่ คลิก
สงสัยติดต่อสอบถามเพิ่มเติม หรือ อยากเมาส์มอยกับครูเคี้ยง มาทางนี้เลย
รู้จักทีมงาน Deep Finder เพิ่มเติมได้ทาง